IELTS or TOEFL เลือกสอบอันไหนดี?

 

IELTS หรือ TOEFL ดี

..วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์ การทดสอบภาษา ของ IELTS กับ TOEFL ให้ทราบกัน

เพื่อที่จะช่วยลดความเครียด และเปรียบเทียบให้ตรงกับความต้องการนำไปใช้

 

บางมหาวิทยาลัยระบุชัดเจนว่าต้องเป็นผลสอบของที่ใดที่หนึ่ง เพราะฉะนั้นก่อนสอบต้องตรวจสอบก่อนว่ามหาวิทยาลัยที่จะสมัครเรียนกำหนดไว้ว่าอย่างไร

 

เดิม TOEFL ใช้แต่ที่สหรัฐอเมริกา ในปัจจุบันมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่เริ่มยอมรับผลการสอบทั้งสองแบบแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในสหรัฐอเมริกาหรือสหราชอาณาจักร ดังนั้นเราจะเลือกสอบอะไรก็ได้

 

เริ่มเล่าเรื่องไอเอลส์ก่อน

IELTS

IELTS (International English Language Testing System) เป็นการสอบวัดความสามารถทางภาษาอังกฤษไว้สำหรับประเมินว่าเรามีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเพียงพอกับการเอาตัวรอดในการเรียนหรือเปล่า

 

คะแนน ไอเอลส์ IELTS ใช้ในการสมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีหลักสูตรการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ มีองค์กรกว่า 10,000 แห่งทั่วโลก ได้ยอมรับและใช้ผลทดสอบคะแนน IELTS โดยเฉพาะในประเทศเครือจักรภพได้แก่ อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ สามารถนำผลคะแนนสอบ IELTS ยื่นขอวีซ่านักเรียน/นักศึกษา และสำหรับย้ายถิ่นฐานได้ด้วย

 

คะแนน IELTS ยังได้รับการยอมรับจากมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาอีกกว่า 3,000 แห่ง

 

สามารถใช้คะแนนสอบ IELTS ยื่นในระบบ TCAS รอบที่ 1 ของหลักสูตรภาษาไทยได้หลายคณะ และใช้ยื่นระดับปริญญาโทขึ้นไปทุกสาขา ของมหาวิทยาลัยทั้งในประเทศไทย และมหาวิทยาลัยต่างประเทศ

 

การสอบ IELTS แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทด้วยกันคือ

  1. เพื่อการศึกษาต่อ (Academic Modules) และ

  2. เพื่อการฝึกอบรม (General Training Modules)

 

คะแนน IELTS จะมีอยู่ 9 ระดับ ลักษณะคะแนนจะเริ่มจาก 0.0 – 9.0 (มีการนับครึ่งคะแนน 0.5 ด้วย)

 

การสอบไอเอลส์จะวัดสี่ทักษะ หลักๆ  คือ Listening, Reading, Writing, และ Speaking

LISTENING 30 นาที

เริ่มสอบด้วยข้อสอบการฟัง Listening

เดี๋ยวนี้มีเครื่องฟังแบบส่วนตัวกันแล้ว อยากจะปรับเสียงดังแค่ไหนก็ปรับได้

เริ่มแรกก็จะเป็นการฟังบทสนทนาง่ายๆ มีการให้เติมคำลงในช่องว่าง เติมคำในแผนภาพ อาจจะมีข้อกากันอยู่บ้าง

READING 60 นาที

การอ่านจะมีเนื้อเรื่องให้อ่าน 3 บทความพร้อมด้วยคำถามที่ต้องปฎิบัติตาม

เนื้อหาพวกนี้เป็นประเภทบทความตามหนังสือ นิตยสาร หนังสือพิมพ์ เป็นเรื่องรอบตัวทั่วไป

WRITING 60 นาที

จะแบ่งออกเป็น 2 เรื่อง ให้เวลา 60 นาที

เรื่องแรก อธิบายข้อมูลที่ให้มาในรูปแบบกราฟ ตาราง แผนผัง เราจะต้องมีการเปรียบเทียบข้อมูลต่างๆ ที่เด่นๆ โดยที่ต้องเขียนอย่างน้อย 150 คำเป็นอย่างต่ำ

เรื่องสอง เขียนเรียงความหรือรายงานอย่างเป็นทางการ และเป็นการแสดงความคิดเห็น การหาทางออก ของปัญหาหรือวิจารณ์หัวข้อที่ให้มา การเปรียบเทียบทางเลือก หรือ การโต้แย้งในประเด็นต่างๆ โดยต้องเขียนอย่างน้อย 250 คำ

SPEAKING 11-14 นาที

แบ่งออกเป็น 3 ส่วน

ส่วนแรก: เป็นการพูดคุยเรื่องทั่วไป การใช้ชีวิตประจำวัน เป็นส่วนที่ง่ายสุด คุยสบายๆ

ส่วนที่สอง: กรรมการจะมีเวลาให้เตรียมตัวก่อนพูด 1 นาที โดยจะมีบัตรคำถามมาให้ และจะให้เราพูดคนเดียวประมาณ 3-4 นาที

ส่วนที่3: มีลักษณะคล้ายกับการพูดโต้ตอบกันในหัวข้อที่ได้จากส่วนที่สอง  เป็นการคุยกันระหว่างผู้ถามกับผู้เข้าสอบ หัวข้ออาจจะยากขึ้นมา เช่น เรื่องปัญหาการรักษาพื้นที่สงวน หรือประเด็นที่มีการออกความเห็น

 

สถาบันที่รับสมัครสอบมี British Council, IDP, และ New Cambridge

 

British Council มีการจัดสอบใน 8 จังหวัด

ทั่วประเทศไทย ดังนี้

  • จัดสอบ IELTS แบบกระดาษ

กรุงเทพฯ สมุทรปราการ ปทุมธานี เชียงใหม่ พิษณุโลก นครราชสีมา (โคราช) ขอนแก่น ภูเก็ต

  • จัดสอบ IELTS แบบคอมพิวเตอร์

กรุงเทพฯ  เชียงใหม่

IDP มีสนามสอบร่วมกับNew Cambridge

เลือกได้ตามความสะดวกใน 6 จังหวัด ได้แก่

กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น หาดใหญ่ นครราชสีมา (โคราช) และ มหาสารคาม

 

ค่าสมัครสอบ 5800 – 7710 บาท แล้วแต่ประเภทของการสอบ

  • IELTS Regular (Paper Base&Computer Base) : 6,900 บาท

  • IELTS for UKVI (Paper Base&Computer Base) : 7,710 บาท

  • IELTS Life Skills : 5,800 บาท

 

ที่ประเทศอังกฤษและสหราชอาณาจักร

สำหรับมหาวิทยาลัยทั่วไปนั้น คะแนน IELTS 6.0 ก็สามารถสมัครเข้าเรียนได้แล้ว ส่วนมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับประมาณ 100-200 แรกของโลก จะต้องการคะแนน IETLS ประมาณ 6.5 และมหาวิทยาลัยชั้นนำที่ติดอันดับต้นๆของโลก อย่างเช่น University of Oxford หรือ University of Cambridge ควรจะต้องมีคะแนน IELTS อย่างน้อย 7.0 ขึ้นไปในทุกทักษะ

 

สำหรับมหาวิทยาลัยในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ต้องการคะแนน IELTS เพียง 6.0-6.5 ก็สามารถสมัครเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ได้แล้ว

 

ส่วนที่สหรัฐอเมริกา

มหาวิทยาลัยที่ติดอันดับ 100 อันดับแรกของโลก จะใช้คะแนนสอบ IETLS ประมาณ 6.5 ส่วนมหาวิทยาลัย 50 อันดับแรกของโลก อย่าง Stanford University, Harvard University หรือ Princeton University จะต้องการคะแนน IELTS ในระดับ 7.0 ทุกทักษะ

ต่อไปเราจะพูดถึงโทเฟิลกัน

TOEFL

TOEFL ย่อมาจาก Test of English as a Foreign Language เป็นแบบทดสอบความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาประจำชาติ นิยมเรียกสั้น ๆ ว่า โทเฟิล หรือ โทเฟล โดยการทดสอบจะครอบคลุมทั้ง 4 ทักษะคือฟัง พูด อ่าน และเขียน แต่ละส่วนจะมีคะแนนให้ 30 คะแนนรวมทั้งหมดเป็น 120 คะแนน ซึ่ง TOEFL ใช้สำหรับศึกษาต่อในอเมริกาโดยเฉพาะ

 

TOEFL ถือว่าเป็นการสอบวัดระดับทางภาษาที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางมากที่สุดในโลก โดยผลคะแนนโทเฟลจะสามารถบ่งบอกถึงความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของแต่ละคน ซึ่งจะใช้เป็นหลักเกณฑ์เมื่อต้องการไปศึกษาต่อในต่างประเทศได้หลายประเทศ  เช่น อเมริกา อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เป็นต้น

 

ข้อสอบโทเฟล จะแบ่งเป็นสองแบบคือ TOEFL iBT (Internet-based Format หรือการสอบผ่านอินเตอร์เน็ต) และ TOEFL PBT (Paper-based หรือการใช้กระดาษในการทำข้อสอบ)  ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยเรานั้นจะใช้การสอบแบบ TOEFL iBT นั่นเอง

ในการสอบโทเฟลจะเป็นการทดสอบครบทุกด้าน คือ Listening, Speaking, Reading และ Writing โดยส่วนมากจะเป็นการวัดระดับการใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน ในห้องเรียน หรือสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งถือว่าคะแนนโทเฟลมีผลมากในการเลือกมหาวิทยาลัย และคณะที่จะเข้าศึกษาต่อ ดังนั้นหากคะแนนโทเฟลอยู่ในระดับสูง โอกาสที่จะได้เข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำก็มีสูงขึ้น แต่ถ้าคะแนนอยู่ในระดับต่ำลงมาเรื่อยๆ โอกาสที่จะได้เข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำก็ลดลงมาตามลำดับ

คะแนน TOEFL ที่ถือว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐานคือ = ส่วนใหญ่ตามสถาบันการศึกษาหรือบริษัทเอกชนต่าง ๆ จะกำหนดว่าต้องได้คะแนนประมาณ 79/120 (แบบใหม่) หรือ 550/677 (แบบเก่า)

 

การสอบ โทเฟล เริ่มด้วย

การอ่าน Reading

อ่านบทความที่ยาวประมาณ 3-5 ย่อหน้าสั้นๆ และตอบคำถามแบบ multiple choice ภายใน 20 นาที โดยหัวข้อจะเป็นแนววิชาการ จะเอาบทความที่ตัดมาจากหนังสือเรียน (textbook) ซึ่งเป็นสาระที่ค่อนข้างลึกและเขียนบรรยายเชิงวิชาการ

การฟัง Listening

มีเวลาให้ฟัง 40-60 นาที โดยอาจเป็นบทสนทนาหรือการบรรยาย ซึ่งเราจะต้องตอบคำถาม multiple choice ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เน้นฟังโดยไม่มีคำถามหรือตัวข้อสอบให้เห็นก่อน ซึ่งความท้าทายก็คือการจับใจความ และ โดยหัวข้อจะเป็นเรื่องทั่วไปเช่นชีวิตประจำวันบ้าง บทสนทนาในชีวิตประจำวัน มาตอบโจทย์ซึ่ง ใช้ทักษะการสรุปเนื้อหาเป็นหลัก อันนี้ต้องอาศัยฝึกฟังเยอะๆ

การเขียน Writing

การเขียนทั้งหมดจะใช้ระบบคอมพิวเตอร์ Lesson1 จะระบุให้เราเขียนเรียงความประมาณ 5 ย่อหน้า ยาว 300 – 350 คำ ในส่วนที่สองเราจะต้องอ่านบทความและฟังการบรรยายในหัวข้อที่กำหนด จากนั้นค่อยเขียนเรียงความยาว 150 – 225 คำ ตามโจทย์ที่กำหนด

การพูด Speaking

จะต้องตอบคำถามกับคอมพิวเตอร์โดยมีเวลาประมาณ 45 – 60 วินาที ซึ่งจะต้องตอบคำถามเกี่ยวกับบทสนทนาหรือคำบรรยายสั้นๆ 6 คำถาม ใช้เวลา 20 นาที

 

แน่นอนว่าการทดสอบทั้ง 2 แบบนั้นเป็นการทดสอบทางด้านภาษา ฉะนั้นจึงมีความสำคัญสำหรับน้องๆที่ต้องนำไปยื่นเรียนต่อ หรือสำหรับผู้ที่สนใจทำงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาไม่ว่าจะเป็นงานการบิน งานโรงแรม งานท่องเที่ยว การทำงานในบริษัทข้ามชาติ ที่ต้องสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ ผลสอบเหล่านี้จะช่วยยืนยันว่าคุณมีความสามารถในการใช้ภาษา เมื่อคุณยื่นผลการสอบประกอบการศึกษาหรือการสมัครงานก็จะช่วยให้เรซูเม่ของคุณน่าสนใจมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ผลการสอบวัดระดับภาษายังช่วยปรับเงินเดือน เลื่อนตำแหน่ง หรือช่วยให้คุณมีโอกาสได้ไปสัมนาต่างประเทศในนามบริษัท (กรณีที่บริษัทสนับสนุน) อีกด้วย

 

เวลาในการสอบ ของ ทั้ง 2 แบบ

การสอบ TOEFL จะกินเวลาประมาณ 4.5 ชั่วโมง โดยระบบคอมพิวเตอร์ทำให้เวลามีความแน่นอน

ส่วนการสอบ IELTS จะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 45 นาที รวมถึงเวลาที่สอบพูดกับกรรมการด้วย

 

อ่านมาถึงตรงนี้ จะเลือกอะไรดี IELTS หรือ TOEFL? 

ควรเลือกสอบตามความถนัดของตัวเองดีกว่า แต่บางเหตุการณ์ เราก็มีความจำเป็นต้องสอบทั้งสองอย่าง โดยอาจจะคำนึงถึงหัวข้อต่างๆ ต่อไปนี้

 

  1. การออกเสียงแบบ อังกฤษ หรืออเมริกัน ถ้าเราคุ้นเคยกับสำเนียง American อาจจะรู้สึกว่าสำเนียงอังกฤษในการสอบ IELTS ฟังยากกว่า ถึงจะแตกต่างกันไม่มากแต่ก็อาจส่งผลกระทบต่อคะแนนการฟังของเราได้

  2. การถามคำถาม: ในการสอบ TOEFL จะมีเพียงคำตอบที่ถูกหรือผิด ในขณะที่การสอบ IELTS มีตัวเลือกเช่น “ไม่ได้พูดถึงข้อมูลดังกล่าว” (information was not mentioned) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญหากถูกถามให้อภิปรายหัวข้อในการสอบ

    รายละเอียดในการสอบ

  • ในการสอบ TOEFL แกรมม่าผิดไปบ้าง แต่ถ้าบทความได้รับการพูดถึงอย่างละเอียดและมีคำศัพท์ที่ถูกต้องก็ยังได้คะแนน

  • ในการสอบ IELTS จะต้องถูกต้องตรงเผงทุกรายละเอียดทั้งรูปแบบการเขียนและคำศัพท์ด้วย

 

 

สำนักงานใหม่ที่

126/27 อาคาร Park Avenue,

(ระหว่างซอยเอกมัย 12 กับ 14)

Website : www.apexeducate.com

line: @apexstudyabroad

Tel. 02-002-8855

Previous
Previous

รู้ไว้ก่อนไปเรียนเมืองจีน

Next
Next

ใครอยากไปเรียนต่อที่แคนาดาบ้าง