รู้ไว้ก่อนไปเรียนเมืองจีน
ประเทศจีน เรียกได้ว่าเป็นอีกจุดหมายปลายทางที่นักเรียนหลากหลายประเทศอยากไปศึกษาต่อ เพราะภาษาจีนถือว่าเป็นอีกหนึ่งภาษา ที่คนนิยมเรียนกัน รองลงมาจากภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นอันดับ 2 ของความนิยมเรียนภาษาทั่วโลก แต่ด้วยความแตกต่างด้านวัฒนธรรมและลักษณะนิสัยของผู้คน มือใหม่ที่ไม่เคยไปจีนมาก่อนอาจกังวลว่าควรเตรียมตัวรับมืออย่างไรดี
ผู้เขียน ขอเล่าเรื่อง เรื่องเล่าที่น่ารู้ไว้ ก่อนไปเรียนต่อเมืองจีน โดยขอแทรกประสบการณ์ ผู้เขียน ไว้ด้วย
ผมเคยไปเรียน ม.4 ที่มณฑลหนานหนิง เมืองอานชาน ใกล้ ๆเมืองฮาร์บินอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน มีอากาศ ติดลบ25 องศา ซึ่งต้องปรับตัวเรื่องอากาศเป็นอันดับแรก ตอนนั้นผมสอบชิงทุน นักเรียนแลกเปลี่ยน AFS ได้ ไปเรียน 1 ปี จึงมีประสบการณ์บ้าง พอที่จะมาเล่าว่า ถ้าจะไปเรียนต่อที่ประเทศจีนควรรู้เรื่องอะไรไว้ก่อนบ้าง ข้อมูลน่าจะเป็นประโยชน์กับน้อง ๆ ที่สนใจไปเมืองจีนและคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อย
วีซ่า
“วีซ่า” เป็นเรื่องแรกที่ต้องมี ใครไม่เคยขอไม่ต้องกลัว เพราะขอวีซ่าจีนมันง่ายมาก ๆ แค่เตรียมเอกสาร ดังนี้
หนังสือเดินทางเล่มจริงที่มีอายุมากกว่า 6 เดือน จริง ๆ ควรมีเวลาที่เราไปศึกษา นับจากวันเดินทาง
สำเนาหนังสือเดินทาง 1 ใบ พร้อมลายเซ็นต์รับรองสำเนา, ใบจองตั๋วเครื่องบิน, ใบตอบรับการเข้าศึกษาจากสถาบันการศึกษา และรูปถ่าย 2 นิ้ว ฉากขาว 1 รูป (ต้องบอกร้านว่าสำหรับทำวีซ่าจีน เพราะมีกฎหลายเรื่องกว่าวีซ่าทั่วไป ร้านถ่ายรูปเขาจะรู้)
พอเตรียมเอกสารครบก็ไปที่ศูนย์รับยื่นคำร้องขอวีซ่าจีน ที่
อาคารธนภูมิ ชั้น 5 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่
ไปถึงก็ยื่นเอกสารตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่
เสร็จขั้นตอนจะเร็วมาก สะดวกสบาย
ตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 2564 ผู้ยื่นคำร้องขอวีซ่าเข้าประเทศจีน ต้องยื่นเอกสารและเก็บลายนิ้วมือ หากผู้เดินทางลายนิ้วมือไม่ตรงกับตัวอย่างที่จัดเก็บไว้ อาจถูกปฏิเสธการเข้าเมืองได้นะครับ
ในส่วนของค่าใช้จ่ายก็เริ่มต้นที่ 1,650 บาท ขึ้นอยู่กับประเภทวีซ่าที่เราเลือก ว่าจะเป็นแบบธรรมดา แบบด่วน เข้าออก 1 ครั้ง หรือ 2 ครั้ง ฯลฯ
หลายคนอาจจะคิดว่าแพง แต่ถ้าจ่ายเท่านี้เทียบกับสิ่งที่จะได้รับ บอกเลยว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม สำหรับคนที่ไม่มีเวลาไปวีซ่ายื่นเอง ปรึกษา APEX ได้
เวลาที่จีน
เวลาในจีนเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง ซึ่งก็ไม่ต่างกันมากนัก เพื่อไม่ให้งงกับเวลาพอไปถึงก็อย่าลืมปรับนาฬิกาให้เร็วขึ้นอีก 1 ชั่วโมง แต่เดี๋ยวนี้น้องๆ มีมือถือสมาร์ทโฟนใช้กัน ก็จะเปลี่ยนเวลาให้อัตโนมัติเมื่อไปถึงจีน
ไม่รู้ภาษาจีนมาก่อน ไปเรียนที่เมืองจีนได้ไหม?
ตอบเลยว่า ไม่ต้องมีพื้นฐานภาษาจีน ก็เรียนที่จีนได้
ไม่ต้องห่วง ถ้าไม่มีพื้นฐานภาษาจีน หรือคะแนนทดสอบระดับภาษาจีน (HSK) ไม่ถึงเกณฑ์
เราสามารถเรียนคอร์สภาษาจีน เพื่อปรับภาษาจีนก่อนที่จะเริ่มเรียนได้
สมัยนั้นผมจบ ม.3 ก็ได้ไปลองสอบ ทุนแลกเปลี่ยน AFS ตอนนั้นอายุแค่15 ปี ยังอ่อนด้อยประสบการณ์มากๆ รู้แต่ภาษาอังกฤษ แต่ไม่รู้ภาษาจีนสักตัว เมื่อได้ไปเรียนไปอาศัยอยู่ที่จีน ผมพบว่าภาษาจีนมีเสียงวรรณยุกต์คล้ายกับภาษาไทย ซึ่งเสียงวรรณยุกต์ในภาษาจีนนั้นมี 5 เสียง มันคล้ายกับภาษาไทยมาก เมื่อนำมาเทียบกับภาษาไทยแล้ว ก็จะมีเสียง เอก โท ตรี และจัตวา ผม ไม่รู้ภาษาจีนสักตัวเดียว ก็สามารถเรียนที่ประเทศจีนได้ ทุกวิชาเราต้องเรียนเป็นภาษาจีน เรียนร่วมกับคนจีน ผ่านไป 1 ปี ผมสามารถใช้ภาษาจีนได้ดี กลับมาเมืองไทยก็มาเรียนเพิ่มอีก ปัจจุบันทั้งฟัง พูดอ่าน เขียน ได้อย่างดี
แม้ว่าการสื่อสารกับชาวจีนเราจะสามารถใช้แอปพลิเคชันช่วยได้อย่างสะดวกสบาย แต่การได้พูดคุยกันแบบตัวต่อตัว การได้ใช้เสียงของเราเอง การแสดงสีหน้าท่าทางของเราย่อมทำให้ความสัมพันธ์และการสื่อสาร เป็นไปในเชิงบวกได้มากกว่า ก่อนไปจีนควรหาความรู้ด้านศัพท์ไว้นิดหน่อยบ้างจะดีกว่า นอกจากคำว่า
หนีห่าว = สวัสดี แล้ว ก็ควรซ้อมคำสั้นๆ คำอื่นไปเพิ่ม เช่น ขอบคุณ อร่อย ชอบ ห้องน้ำ หิว ฯลฯ ซึ่งคำพวกนี้หาได้ตามในอินเตอร์เน็ต จะทำให้ชีวิตช่วงแรกๆ ในจีนง่ายขึ้น
สถานศึกษาในจีน ทันสมัย ระบบการศึกษาดี และเปิดหลักสูตรแบบอินเตอร์ใช้ภาษาอังกฤษ มากขึ้น ในหลักสูตรระดับปริญญาโทและปริญญาเอก หากคิดว่ามีทักษะภาษาอังกฤษเพียงพอ สามารถเลือกเรียนแบบอินเตอร์ได้ ในทุกหลักสูตรอย่างไรก็ตามโดยมากทุกหลักสูตรยังจะมีเรียนวิชาภาษาจีน เพื่อให้เรามีความรู้ทางภาษาจีนให้เพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตประจำวันในเมืองจีนได้
บางสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษา อาจบังคับให้เราสอบผ่าน HSK ในระดับที่กำหนด แม้เราจะเรียนในหลักสูตรอินเตอร์ก็ตาม นี่ละเป็นความฉลาดของจีน เขาคงอยากให้เราสนใจเรียนภาษาจีน ซึ่งจริง ๆ ก็เป็นประโยชน์ต่อตัวเราเอง โดยเฉพาะการใช้ชีวิตประจำวัน เพราะแน่นอนว่า เราไปจีน ภาษาจีนก็ต้องสำคัญที่สุด
มีคนใช้ภาษาจีนโดยประมาณ 1,200 ล้านคน ทำให้ภาษาจีนกลายเป็นภาษายอดนิยมอันดับต้น ๆ ด้วยเหตุที่ว่าคนจีนนั้นมีประชากรถึง 7,700 ล้านคน จึงทำให้ภาษาจีนเป็นภาษายอดนิยม และมีผู้คนพูดภาษาจีนมากที่สุดทั่วโลกเป็นอันดับ 2 รองจากภาษาอังกฤษ
ไวยากรณ์ในภาษาจีนค่อนข้างจะคล้ายคลึงกับภาษาไทย การเรียงประโยคหรือการพูดประโยคนั้นเรียงคล้ายกับภาษาไทย ซึ่งอาจจะมีบางประเภทของประโยคที่เรียงคล้ายกับภาษาอังกฤษ ดังนั้นคนที่จะเรียนภาษาจีน ถ้ามีพื้นฐานภาษาไทยและภาษาอังกฤษ จะทำให้เรียนภาษาจีนได้ง่ายขึ้น
การจำคำศัพท์จีนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเรียนภาษาจีนทั้งสำหรับการใช้ในชีวิตประจำวัน หรือใช้เพื่อต่อยอดในการเรียน และการทำงาน การจำศัพท์จีนถือว่าเป็นสิ่งที่หลายคนกังวล และมองว่าเป็นเรื่องยากอันดับต้น ๆ ของการเรียนจีน คำศัพท์ในภาษาจีนนั้นจะมีการเขียนตัวจีนและพินอิน จึงแนะนำว่าให้จำหมวดคำในภาษาจีนด้วย เพราะหมวดคำในภาษาจีน จะเกี่ยวข้องกับการเขียนตัวจีน ซึ่งจะทำให้เราจำความหมายได้ง่ายขึ้น
ผมเอง มีเทคนิคการจำคำศัพท์ หลากหลายวิธีในการฝึกฝน เพื่อให้จำศัพท์ได้เร็ว และแม่นยำยิ่งขึ้น เช่น ฝึกคัดเยอะๆ ฝึกแต่งประโยค และทำแบบฝึกหัด ฝึกจากสื่อบันเทิง พวกซีรีส์ รายการวาไรตี้ และเพลง ฝึกใช้จริงกับเจ้าของภาษา ฝึกลองใช้ภาษาจีนในชีวิตประจำวัน ต่อราคาสินค้า ซื้อตั๋วรถไฟใต้ดิน ถามทาง รวมทั้งฝึกเขียนไดอารี่เป็นภาษาจีน ด้วย
ความสะดวกทางการเงิน
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าที่จีนเขาพัฒนาไปไกลมาก ประเทศจีนแทบจะกลายเป็นสังคมไร้เงินสดไปแล้ว เวลาจับจ่ายซื้อของส่วนมากเค้าจ่ายด้วย App WeChat Pay, Alipay อย่างบัตรเครดิตถ้าเป็น Union pay ก็รูดได้สบายเลย แต่ถ้าเป็น VISA, MASTER อาจจะได้แค่ตามร้านหรือโรงแรมใหญ่ๆ เท่านั้น ส่วนค่าใช้จ่ายต่างๆ ในประเทศจีนเราว่าค่อนข้างไม่ต่างจากไทยมากนัก เรียกว่า เป็นสวรรค์ของนักช้อป เลยก็ว่าได้
ที่จีน เป็นประเทศที่ค่าเล่าเรียนไม่แพง ค่าใช้จ่ายค่าเล่าเรียนที่เมืองจีน คิดเป็นรายปี และค่อนข้างถูก ถ้าเทียบกับประเทศอื่น และยังมีทุนการศึกษาให้กับชาวต่างชาติโดยไม่มีข้อผูกมัด อย่างเช่น ทุนการศึกษารัฐบาลจีน ทุนการศึกษาของสถาบันขงจื่อ ทุนการศึกษาของมณฑล/เมือง ทุนการศึกษาของมหาวิทยาลัย เป็นต้น
ส่วน ค่าครองชีพที่เมืองจีน จะแตกต่างกันไปตามแต่เมืองที่เราเลือก ถ้าเราเลือกเรียนที่เมืองใหญ่ อย่างเช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางโจว ค่าครองชีพอาจจะค่อนข้างสูง แต่สำหรับน้อง ๆ ที่เป็นนักเรียนนักศึกษา วิธีการประหยัดที่ดีที่สุด คือการกินอาหารในโรงอาหาร เพราะกับข้าว และอาหารในโรงอาหารจีนค่อนข้างมีราคาถูก ปริมาณมาก และอร่อยด้วย
ถ้ามีเวลาไปเที่ยวไปช้อปปิ้ง การต่อราคาในประเทศจีนไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย หากเราต่อราคาเก่ง ๆ อาจได้ลดราคาเกือบครึ่ง พี่จีนเค้าคงรู้ว่าเราชอบต่อ เลยตั้งราคาไว้สูงเอาเรื่อง ลองยิ้มให้มากๆ และลองพยายามพูดภาษาจีนต่อราคากับบรรดาพ่อค้าแม่ค้าดูนะครับ
คนจีนพูดเสียงดัง
คนจีนจะมีสไตล์การพูดที่เสียงดัง ฟังเหมือนกระโชกโฮกฮาก แต่จริงๆ แล้วไม่มีอะไร ไม่ต้องตกใจนะครับ คนจีนส่วนใหญ่ค่อนข้างเป็นมิตรกับคนไทย มองคนไทยในแง่บวก ซึ่งมีส่วนน้อยมากๆ ที่จะไม่ชอบ ถ้ารู้ว่าเป็นไท่กั๋ว(คนไทย) พวกเค้าจะดูแลเราอย่างดี ที่เมืองจีนอาจหาคนที่สื่อสารภาษาอังกฤษได้น้อยมาก หากไม่ใช่พนักงานโรงแรมหรือพนักงานตามแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำจริง ๆ
ผมมีเพื่อนชาวจีนร่วมชั้นเรียน สมัยที่ผมเคยเป็นนักเรียนทุน AFS พบว่าเพื่อนๆ ชาวจีนมีความขยันมากๆ พวกเขามีการแข่งขันด้านการศึกษาค่อนข้างสูง ใครเรียนเก่งจะได้เข้าศึกษาในสถาบันดี ๆ จึงทำให้พวกเขามีกดดันสูงจากสถานการณ์ต่างๆในประเทศที่มีคนจำนวนมาก นี่คงเป็นเหตุให้คนจีนขยันมาก โดยเฉพาะในเรื่องการเรียน ซึ่ง เป็นเรื่องดีที่เราจะได้พลอยขยันตามไปด้วย เรียกว่า เพื่อนดีมีชัย คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล และถ้าหากเรามีความสามารถทางภาษาอังกฤษ เราจะเนื้อหอมเป็นพิเศษ เพราะเพื่อนชาวจีนก็อยากให้เพื่อนชาวไทยอย่างเราช่วยสอนภาษาอังกฤษ แลกเปลี่ยนความรู้กัน เราสอนอังกฤษให้เขา เขาสอนจีนกลับให้เรา
อาหารอร่อยกับเหล้าอุ่นๆ
อาหารมื้อแรกที่ผมไปจีน คือที่ปักกิ่ง จานใหญ่ ปริมาณเยอะ และอร่อยมากๆ (นึกว่าจะได้กินเป็ดปักกิ่ง แต่ไม่ได้กินเป็ดปักกิ่ง แอบเสียใจเล็กน้อย) แต่อาหารในชนบทของประเทศจีนยิ่งอร่อยเลิศรสกว่าในเมืองใหญ่ๆ ตามความคิดของผมเอง คงเป็นเพราะธรรมชาติและความตั้งใจในการปรุง
สมัยเรียนอยู่จีนผมเคยไปเที่ยวนอกเมืองเซี่ยงไฮ้ เจ้าภาพเจ้าของบ้าน เขาเลี้ยงอาหารโต้ะใหญ่เปิดเมนูมา น่าตกใจ มีตะพาบน้ำ นกพิราบ ปลา ผัก ไข่ และอื่นๆอีกมากมาย เจ้าภาพเขาบอกว่า “คนจีนกิน อาหารจากน้ำยันฟ้า” และได้ชื่อว่า “อาหารอร่อยที่สุดในโลก” แน่นอนว่าเป็นไปตามนั้น และอาหารจีนอร่อยจนน้ำหนักขึ้น
ที่เมืองอานชานที่ผมเคยไปเล่าเรียนมา อากาศหนาวมาก มีหิมะตก ทุกมื้ออาหารกับครอบครัวอุปถัมป์จึงเป็นธรรมเนียมของการดื่มเหล้าอุ่นๆ เพื่อคลายหนาวกับครอบครัวในมื้อปกติ จึงไม่แปลกเลยที่ลูกหลานไทยจะมีความสามารถในการจิบเหล้าในมื้ออาหาร และแน่นอนการดื่มเหล้าเข้าสังคมจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติของชาวจีน เพราะสภาพอากาศพาไปนี่เอง
สภาพอากาศหลากหลาย
สภาพอากาศที่เมืองจีน จะแตกต่างกันไปตามฤดูกาล และท้องที่เมืองที่เลือกไป จีนเป็นประเทศที่ใหญ่มากในฤดูหนาว จะหนาวจัด ฤดูร้อนจะร้อนจัด โดยเฉพาะทางเหนือของประเทศจีน หนาวระดับหิมะตก ส่วนทางใต้ อากาศค่อนข้างเหมือนประเทศไทยตอนเหนือเหมาะสำหรับคนไทย เพราะถ้าหนาวก็หนาวไม่มากจนเกินไป พอทนได้ ถ้าใครไม่ชอบหนาว ก็หาเมืองที่อยู่ตอนใต้ๆ ของจีน ถ้าชอบหนาวชอบหิมาะ ก็ไปแถบเหนือ ๆ ตะวันออกเฉียงเหนือ อย่างไรก็ควรจะเช็คสภาพอากาศก่อนเดินทางเพื่อเตรียมเสื้อผ้าข้าวของที่จำเป็นในการเดินทาง
การเดินทางสะดวก
ระบบขนส่งสาธารณะเพื่อการเดินทางในประเทศจีนดีมากๆ และดีเป็นอันดับต้นๆ ในระดับสากล มีระบบดีและ มีการต่อคิวเพื่อยืนรอรถสาธารณะด้วยนะครับ ถือว่าเขามีการพัฒนาไปมากๆ ที่จีนมีทั้งรถไฟฟ้า รถบัสนอกเมือง รถเมล์ รถไฟ รถไฟความเร็วสูง ที่ทั้งความสะดวก ความสะอาด ความเป็นระบบ มีความทันสมัย การเดินทางในเมือง มีรถไฟใต้ดินเป็นหลัก ขอแนะนำให้โหลด แอพ Metro China Subway แอพนี้ เป็นภาษาอังกฤษมีชื่อสถานีภาษาจีนกำกับ สามารถบอกเวลา รอบขบวน และประมาณราคาค่าเดินทางให้ด้วย เรียกว่าแอพเดียวเที่ยวได้ทั่วจีน ทันสมัยพอๆ กับไปสิงคโปร์ อังกฤษ ญี่ปุ่น เลยครับ
เรื่องต้องห้ามยามอยู่เมืองจีน
เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม ก็ดีนะครับ จะเข้าเมืองจีน ก็ทำตามวิถีของคนจีน ไหนๆ ก็จะไปเรียนเมืองจีนแล้ว ก็ต้องเรียนรู้กฎข้อห้ามของคนจีนด้วยก็ดีว่าไหมครับ ในวัฒนธรรมจีนมีข้อห้ามหลายอย่างที่เราไม่ควรฝ่าฝืน
อย่าแบ่งสาลี่ให้ใครกิน
ถ้ากินสาลี่แล้วใจดีอยากแบ่งให้คนในครอบครัว เพื่อนฝูง หรือคนรักกินด้วย ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง เพราะในภาษาจีนคำว่า 分梨 fēn lí แบ่งสาลี่ ดันมีเสียงไปคล้องจองกับคำว่า 分离 fēn lí ซึ่งแปลว่า แยกจาก ดังนั้นเวลาจะกินสาลี่ กินคนเดียว ไปเลยนะครับ
ใช้ตะเกียบให้ถูกต้อง
ถ้าได้ร่วมโต๊ะกินข้าวกับคนจีน จำไว้ว่าอย่าปักตะเกียบในชามข้าวเด็ดขาด พวกเขาจะถือว่าเราไม่มีมารยาทอย่างมาก เพราะการปักตะเกียบในชามข้าว เป็นวิธีที่คนจีนใช้ไหว้บรรพบุรุษหน้าหลุมศพนะครับ ดังนั้นถ้าจะหยุดกินก็แค่วาง ตะเกียบไว้ข้างๆ ชามก็พอ
ห้ามให้นาฬิกาเป็นของขวัญ
จีนเป็นชนชาติที่ให้ความสำคัญกับการมอบของขวัญ เพราะนั่นหมายถึงการกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และถ้าเราอยากจะมอบของขวัญสักชิ้น จะมอบอะไรให้ก็ได้แต่ต้องไม่ใช่ “นาฬิกา”
เพราะในภาษาจีนคำว่า 钟 zhōnɡ มีเสียงคล้องจองกับคำว่า 终 zhōnɡ ซึ่งแปลว่า สิ้นสุด จบสิ้น
และคำว่า 送钟 sònɡ zhōnɡ มอบนาฬิกา ก็คล้องจองกับคำว่า 送终 sònɡ zhōnɡ ซึ่งหมายถึง การมาส่ง หรืออำลาผู้ที่กำลังจะเสียชีวิต
หลีกเลี่ยงเลข 4
คนจีนไม่ชอบเลข 4 ที่สุด เพราะเลข 4 มีเสียงอ่านใกล้เคียงกับคำว่า 死 sǐ ที่แปลว่า ตาย เราจีงสังเกตได้ว่าในลิฟท์ที่ประเทศจีนจะใช้ตัว F แทนชั้น 4
อย่าผิวปากตอนกลางคืน
อยู่ประเทศจีน ห้ามผิวปากตอนกลางคืนเด็ดขาด เพราะคนจีนมีความเชื่อว่าภูติผีวิญญาณจะออกมาทำกิจกรรมต่างๆ ตอนกลางคืน เสียงผิวปากจะไปสะดุดหูและเรียกความสนใจบรรดาภูติผีวิญญาณให้มาตามหาเสียง และพาเจ้าของเสียงนั้นไปอยู่ด้วย
หวังว่า เล่าเรื่อง เรื่องเล่า รู้ไว้ก่อนไปเรียนเมืองจีน ในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์กับน้อง ๆ และคนที่อยากไปเรียนต่อจีนนะครับ แต่หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อทีมงาน APEX ได้เลยครับ