Hello Dubai

 

“ตึกสูงระฟ้า อากาศร้อนอบอ้าว ทะเลทราย และมหาเศรษฐีบ่อน้ำมัน”

สิ่งเหล่านี้คงจะเป็นภาพจำที่ผุดขึ้นมาในหัวของใครหลายๆคนเมื่อได้ยินชื่อ “ดูไบ” มหานครยักษ์ใหญ่บนอ่าวเปอร์เซีย แม้จะมีที่ตั้งไม่ใกล้ไม่ไกลจากไทยสักเท่าไร แต่ชื่อดูไบมักคุ้นตานักท่องเที่ยวไทยในฐานะทางผ่านเพื่อเปลี่ยนเครื่องไปยังประเทศอื่นๆมากกว่าจะเป็นจุดหมายปลายทาง โดยเฉพาะคนที่เคยใช้บริการสายการบินเอมิเรตส์ (Emirates)

วันนี้ APEX จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับดูไบในแง่มุมต่างๆที่นอกเหนือจากการเป็น hub เรื่องการขนส่งและการเดินทางเพิ่มขึ้นอีกสักนิด ดูไบแท้จริงแล้วอยู่ตรงไหนของแผนที่โลก มีอะไรที่น่าสนใจนอกจากทะเลทรายและบ่อน้ำมันบ้างไหม เผื่อใครหลายคนอาจเปลี่ยนใจให้ดูไบเป็นจุดหมายปลายทางแทนที่จะเป็นทางผ่านเหมือนที่แล้วมา

ศูนย์รวมโครงการยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งของโลก

ดูไบขึ้นชื่อเรื่องโครงการยักษ์ใหญ่มาแต่ไหนแต่ไร แต่ละโครงการไม่ใช่แค่ใหญ่ระดับประเทศหรือภูมิภาคเท่านั้น แต่ใหญ่ระดับโลกกันเลยทีเดียว หากใครเคยอ่านลิสต์ตึกสูงระฟ้าของโลกมาบ้าง ก็น่าจะพอจำได้ว่ามีตึกในดูไบติดอันดับอยู่ด้วยทุกครั้ง

ตัวอย่างตึกที่คุ้นตาก็น่าจะเป็นตึก “เบิร์จ คาลิฟา” ซึ่งปัจจุบันถือเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก ตัวอาคารมีความสูงมากกว่า 800 เมตร มีจำนวนชั้นถึง 163 ชั้น นอกจากจะเปิดโอกาสให้คนได้จับจองเป็นเจ้าของแล้ว ยังเปิดโซนให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอีกด้วย โดยมีทั้งโซนให้ความรู้ ร้านค้า ร้านอาหาร และจุดชมวิว ตึกนี้ใช้เวลากว่า 6 ปีในการก่อสร้าง และเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 2010  และเนื่องจากเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโลก เบิร์จ คาลิฟาจึงครองแชมป์อาคารที่มีจำนวนชั้นสูงที่สุดในโลก และบริการลิฟต์ที่สูงที่สุดในโลกด้วยเช่นกัน

ใช่ว่าโครงการใหญ่ของดูไบจะมีแต่การสร้างตึกอาคารให้สูงเสียดฟ้า เพราะที่นี่ยังมีอภิมหาโครงการสร้างหมู่เกาะจำลองให้ทั่วโลกได้ตื่นตาตื่นใจด้วย หนึ่งในแลนด์มาร์คของดูไบคงจะไม่พ้น “หมู่เกาะต้นปาล์ม” หมู่เกาะจำลองที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างจากหินและทราย มีลักษณะคล้ายต้นปาล์มและประกอบด้วยเกาะย่อยๆ 3 เกาะ ตัวเกาะเป็นที่ตั้งของวิลลาและอพาร์ทเมนต์หรู รวมทั้งสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหารและร้านค้าต่างๆ เป็นอีกหนึ่งแลนมาร์คที่มีกิจกรรมดึงดูดนักท่องเที่ยวมากมาย ทั้งการเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ เข้าร้านสปา พักผ่อนที่สวนน้ำ เล่นกีฬาทางน้ำ หรือหากใครชอบความท้าทาย ก็อาจซื้อตั๋วลองกิจกรรมกระโดดร่มเหนือหมู่เกาะจำลองแห่งนี้ จะมองเห็นวิวของหมู่เกาะเป็นรูปต้นปาล์มชัดแจ๋วเลยทีเดียว

อีกหนึ่งโครงการยักษ์ใหญ่ที่เคยสร้างความฮือฮาให้กับชาวโลก ก็คือโครงการ “หมู่เกาะโลก” หมู่เกาะจำลองที่ได้รับการออกแบบให้เหมือนกับแผนที่โลกแบบหยาบๆ แม้จะประสบปัญหาวิกฤติทางการเงินไปมากกว่าหนึ่งทศวรรษ แต่ในที่สุดเมื่อปีค.ศ. 2018 หมู่เกาะโลกก็กลับมาฟื้นฟูโครงการใหม่อีกครั้ง โดยจะเริ่มจากการพัฒนาที่ดินในส่วนที่เป็นยุโรปให้เป็นที่พักตากอากาศก่อนเป็นอันดับแรก หากสร้างเสร็จเมื่อไร น่าจะเป็นอีกหนึ่งแลนมาร์คน่าสนใจไม่แพ้ที่อื่นๆในดูไบเลย

ดูไบไม่ได้มีแค่ทะเลทราย

เพราะโด่งดังแต่โครงการที่มนุษย์สร้าง หลายคนอาจพาลคิดไปว่าดูไบนั้นฟังดูแห้งแล้ง ไม่มีธรรมชาติสวยๆ และคงจะมีแต่ทะเลทรายกับชายหาดเป็นจุดขายเท่านั้น จริงอยู่ว่าดูไบนั้นล้อมรอบด้วยทะเลทราย แต่ใช่ว่าที่นี่จะร้อนและแห้งแล้งจนไร้พื้นที่สีเขียวไปเสียทีเดียว ดูไบมีสวนสาธารณะหลายแห่ง และพยายามที่จะเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับตัวเมืองมากขึ้น แม้จะไม่มีแม่น้ำหรือคลองตามธรรมชาติ แต่ที่นี่ก็มีคลองดูไบ (Dubai Creek) คลองน้ำเค็มที่แบ่งเมืองออกเป็นสองฝั่ง ถือเป็นจุดเริ่มต้นการค้า การประมงและกิจการฟาร์มไข่มุก แม้ในช่วงแรกคลองจะไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก แต่ทางการของดูไบก็ได้ขยายคลองให้กว้างขึ้น ทำให้การคมนาคมสะดวกและง่ายต่อการค้าขาย

สำหรับคนที่ชอบสัตว์ป่า ดูไบมีเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าให้เลือกเยี่ยมชมหลายแห่ง อีกทั้งยังขึ้นชื่อเรื่องการเป็นสถานที่ดูนกยอดนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค เนื่องจากนกจากเอเชีย แอฟริกา และยุโรปหลายร้อยสายพันธุ์มักจะอพยพหนีอากาศหนาวมาในบริเวณนี้ ส่วนนกที่ถือเป็นนกพื้นถิ่นของดูไบ คือ นกบัสตาร์ด (นกขนาดใหญ่ประเภทนกกระเรียน) และเหยี่ยว ซึ่งมักอาศัยอยู่ตามทุ่งหญ้าเตี้ยๆหรือทะเลทราย

และแม้จะเราจะจั่วหัวเอาไว้ว่าดูไบมีมากกว่าทะเลทราย (ซึ่งก็มีจริงๆ!) แต่ก็ต้องยอมรับว่าทะเลทรายนั้นเป็นจุดขายและเสน่ห์ของที่นี่ ทะเลทรายที่ดูไบนั้นไม่เหมือนกับทะเลทรายในรัฐอื่น เนื่องจากเป็นทรายที่เกิดจากเศษเปลือกหอยและปะการัง มีความขาว ละเอียด สันทรายทางตอนเหนือของดูไบจะเป็นสีแดงเข้มขึ้นกว่าบริเวณรอบตัวเมือง มองดูแล้วสวยแปลกตา นักท่องเที่ยวเองก็มักจะนิยมมาทำกิจกรรมที่ทะเลทราย ไม่ว่าจะเป็นการนั่งรถไปชมพระอาทิตย์ขึ้น ขี่อูฐ เล่นลากเลื่อนบนเนินทราย หรือแม้แต่ถ่ายรูปกับเหยี่ยว

มหานครแห่งอนาคต

นอกจากจะมีโครงการพัฒนาพื้นที่สีเขียวให้เพิ่มมากขึ้นดังที่เกริ่นไปก่อนหน้านี้แล้ว ดูไบยังมีความตั้งใจจะใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น และพยายามจะกลายเป็นเมืองที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยที่สุดในโลกให้ได้ภายในปีค.ศ. 2050 ด้วย เมื่อปลายปีที่ผ่านมา มีรายงานว่าตลอดปี 2019 นั้น ดูไบลดการปล่อยก๊าซได้ถึง 14 ล้านตัน หรือประมาณ 22% ถือเป็นความสำเร็จที่เกินคาด ตัวเลขดังกล่าวถือว่าเกินเป้าหมายของปี 2020 เสียด้วยซ้ำ เนื่องจากภาครัฐให้ความสำคัญกับการเร่งผลิตพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน เราจึงได้เห็นการติดตั้งแผงโซลาร์ตามอาคารบ้านเรือนต่างๆ เพื่อผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์ และเริ่มเห็นรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเป็นรถของหน่วยงานราชการ

แม้แต่งาน World Expo 2020 ที่ดูไบได้เป็นเจ้าภาพ ก็ยังสะท้อนวิสัยทัศน์ของเมืองแห่งนี้ว่าให้ความสำคัญกับเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก สถานที่จัดงาน World Expo 2020 นั้นจะถูกแปลงโฉมให้กลายเป็นเมืองขนาดย่อมที่ชื่อ District 2020 หลังจบงาน และจะมีการรีไซเคิลข้าวของเครื่องใช้ต่างๆในงานกว่า 80% เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาคอมมูนิตี้แห่งนี้ ภายใน District 2020 จะมีทั้งอาคารที่พักอาศัย โรงเรียน โรงพยาบาล สถานีตำรวจ สวนสาธารณะ มัสยิด และสถานที่สำคัญอื่นๆ ถือว่าเป็นการรีไซเคิลสถานที่จัดงานระดับโลกให้กลายเป็นเมืองสวยๆล้ำๆ ตามสไตล์ดูไบได้ทันทีหลังงานจบ แถมดูไบยังจะนำนโยบายความยั่งยืนที่เป็นธีมการจัดงาน มาปรับใช้ในการพัฒนาคอมมูนิตี้นี้อีกด้วย ถือว่าโชว์ศักยภาพความเป็นมหานครแห่งอนาคตอย่างแท้จริง

เก็บกระเป๋าไปดูไบ

ถึงแม้ว่าสถานการณ์โรคระบาดจะยังไม่มีทีท่าว่าจะแผ่วลง แต่หลายคนก็อาจจะเริ่มวางแผนเดินทางกันใหม่อีกครั้งแล้ว โดยเฉพาะคนที่มีแพลนจะไปทำงานหรือเรียนต่อแบบยาวๆ

ณ ตอนนี้ (เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2021) ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และดูไบยังไม่มีการห้ามคนไทยเข้าประเทศ คนไทยทุกคนต้องมีใบรับรองการตรวจหาเชื้อ COVID-19 เพื่อยื่นตอนตรวจคนเข้าเมือง (แน่นอนว่าต้องมีผลเป็นลบ) แต่ไม่จำเป็นต้องกักตัว และหากได้วีซ่าประเภททำงานมาแล้ว แม้เป็นชาวต่างชาติในดูไบ แต่ก็มีสิทธิที่จะได้รับวัคซีนเช่นเดียวกัน (หมายเหตุ: กฎเรื่องการเข้าเมืองของดูไบเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ของโรคระบาด)

คนที่สนใจมาเรียนภาษาอังกฤษในดูไบแต่กล้าๆกลัวๆ เพราะไม่แน่ใจว่าจะได้ฝึกภาษาในชีวิตประจำวันบ่อยแค่ไหน ต้องบอกเลยว่าได้ฝึกใช้จนคล่องแน่นอน อย่างที่เราคุยกันไปเมื่อช่วงต้น ดูไบเป็นเมืองที่มีชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก ภาษาอังกฤษจึงถูกใช้เป็นภาษาติดต่อสื่อสารกันอย่างกว้างขวาง ทำให้มีโอกาสได้ใช้นอกห้องเรียนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ใครที่สนใจจะทำงานระหว่างเรียนไปด้วย และอยากให้งานนั้นช่วยเสริมทักษะภาษา ก็ขอให้จัดดูไบไว้ในลิสต์ตัวเลือกลำดับต้นๆได้เลย เพราะงานที่นักเรียนส่วนใหญ่ได้ทำ มักเป็นงานที่ต้องใช้ทักษะและต้องอาศัยความเป็นมืออาชีพ หลายๆคนจึงจะได้เรียนทั้งภาษาและฝึกฝนทักษะในการทำงานไปพร้อมๆกัน ยิ่งในเมืองที่ธุรกิจการค้าและการท่องเที่ยวเฟื่องฟูอยู่เป็นทุนเดิม นักเรียนไทยจึงหางานทำได้ไม่ค่อยยากนักเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

หากเทียบกับกรุงเทพฯแล้ว ค่าครองชีพในดูไบอาจแพงกว่า โดยเฉพาะเรื่องค่าอาหารหรือที่พัก (ที่ดูไบแพงกว่าไทยประมาณสองเท่า) แต่เมื่อเทียบกับเมืองใหญ่อื่นๆ เช่น นิวยอร์ค สิงคโปร์ ฮ่องกง ซึ่งมีชาวต่างชาติอาศัยอยู่มากเช่นกัน ก็ต้องถือว่าดูไบไม่ได้แพงจนเกินไป และค่าครองชีพนั้นก็สมเหตุสมผลกับคุณภาพชีวิตที่ได้รับ ทั้งในเรื่องความสะดวกสบาย รวมทั้งโอกาสในการทำงาน

อ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลายๆคนน่าจะเริ่มสนใจดูไบขึ้นมาบ้างแล้ว หากมีข้อสงสัยเรื่องการเรียนต่อดูไบเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:

สำนักงานใหม่ที่

126/27 อาคาร Park Avenue,

(ระหว่างซอยเอกมัย 12 กับ 14)

Website : www.apexeducate.com

line: @apexstudyabroad

Tel. 02-002-8855

อ้างอิง:

https://www.expo2020dubai.com/en/understanding-expo/after-expo2020

https://www.mfa.go.th/th/content/5d5bcc1b15e39c3060009fb1?cate=5d5bcb4e15e39c3060006870

https://www.visitdubai.com/en/explore-dubai/about-dubai

https://blog.dmcc.ae/cost-of-living-in-dubai-for-expats

https://en.wikipedia.org/wiki/History_of_Dubai

https://www.constructionweekonline.com/business/267236-dubai-reduced-14-million-tonnes-of-carbon-emissions-in-2019

Previous
Previous

HSK คืออะไร

Next
Next

IOM คืออะไร