สิ่งที่ควรรู้สำหรับน้องๆที่สนใจ

เรียนต่อประเทศสหรัฐอเมริกา

ทำความรู้จักกับประเทศสหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา เป็นสหพันธ์สาธารณรัฐแบบมีรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยรัฐ 50 รัฐ บนพื้นที่กว่า 3ล้านตารางไมล์ หรือใหญ่กว่าประเทศไทยถึง18เท่า ด้วยความพร้อมและทันสมัยของเทคโนโลยี ความสวยงามของประเทศ และวัฒนธรรมอันหลากหลายจากการรวมตัวกันของหลากหลายชนชาติที่ได้อพยบเข้าไปตั้งถิ่นฐานกว่าหมื่นปี ทำให้อเมริกาเป็นประเทศที่มีภาษาใช้กันมากที่สุดในประเทศ ไม่ว่าจะเป็น อังกฤษ สเปน จีน ฝรั่งเศส ตากาล็อค เวียดนาม เยอรมัน แต่ประชากรส่วนใหญ่ในอเมริกาใช้ภาษาอังกฤษในการติดต่อสื่อสาร ด้วยเหตุผลนี้ จึงทำให้นักศึกษาต่างชาติเลือกที่จะมาเปิดประสบการณ์การเรียนรู้ใหม่ๆ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาแห่งนี้

  • ปีการศึกษาใน สหรัฐอเมริกา (Academic Year) เริ่มประมาณเดือนกันยายนถึงพฤษภาคม ซึ่งมีกำหนดภาคเรียนแตกต่างกันออกไปดังนี้ระบบ Semester เป็นระบบที่นิยมใช้มากที่สุด แบ่งเป็น 2 Semesters และ 1-2 Summer Sessions แต่ละ Semesters ยาวประมาณ16 สัปดาห์

    • Fall Semester เปิดประมาณปลายสิงหาคม-กลางธันวาคม

    • Spring Semester เปิดประมาณต้นมกราคม-เมษายน

    • Summer Session เปิดประมาณกลางพฤษภาคม-สิงหาคม จะแบ่งครึ่งเป็น 2 ช่วง สั้นๆ

    ระบบ Quarter ในหนึ่งปีแบ่งออกเป็น 4 Quarter แต่ละ Quarter ระยะเวลาเรียนประมาณ 10 สัปดาห์

    • Fall Quarter กลางกันยายน-ธันวาคม

    • Winter Quarter มกราคม-กลางมีนาคม

    • Spring Quarter ต้นเมษายน-กลางมิถุนายน

    • Summer Quarter กลางมิถุนายน-สิงหาคม

    ระบบ Trimester ใน 1 ปี แบ่งภาคการศึกษาดังนี้

    • First Trimester กันยายน-ธันวาคม

    • Second Trimester มกราคม-เมษายน

    • Third Trimester พฤษภาคม-สิงหาคม

    1. ระดับมัธยมศึกษา: นักเรียนจากประเทศไทยสามารถศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนของเอกชนเท่านั้นเพราะโรงเรียนรัฐบาลโดยส่วนใหญ่ไม่สามารถออกเอกสารวีซ่า I-20 Form ให้ได้ หรือถ้าออกให้ได้ก็ได้แค่ 1 ปีเท่านั้น หลังจากนั้นนักเรียนต้องย้ายไปเรียนต่อที่โรงเรียนเอกชนที่สามารถออก I-20 ระยะยาวให้ได้

    2. ระดับวิทยาลัย: วิทยาลัยส่วนใหญ่ต้องการนักศึกษาที่มีเกรดเฉลี่ย 2.0 ขึ้นไป และคะแนน TOEFL 480-500 ขึ้นไป

    3. มหาวิทยาลัย สำหรับปริญญาตรี: สถาบันส่วนใหญ่ต้องการนักศึกษาที่มีเกรดเฉลี่ย 2.5 ขึ้นไป และ TOEFL 500 ขึ้นไป

    4. มหาวิทยาลัย สำหรับปริญญาโทและเอก: เกรดเฉลี่ย 3.0 ขึ้นไป และคะแนน TOEFL ไม่ต่ำกว่า 550 นักศึกษาที่จะสมัครในโปรแกรม MBA ส่วนใหญ่จะต้องใช้คะแนน GMAT ซึ่งจะนำมาคำนวณกับเกรดเฉลี่ยปริญญาตรี สำหรับนักศึกษาที่สมัครปริญญาโทและเอกในสาขาอื่น ๆ ส่วนใหญ่จะต้องสอบ GRE (Graduate Record Examination)

 

Statue of Liberty

 
    1. กรอกใบสมัครของสถาบันให้เรียบร้อย

    2. ค่าธรรมเนียมการสมัคร (Application Fee)แล้วแต่สถานศึกษาจะกำหนด

    3. หลักฐานการศึกษาต่างๆ (Transcript) ฉบับจริง

    4. Transfer credit อันนี้กรณีที่เรียนอยู่แล้วอยากย้ายไปเรียนที่อื่น

    5. Educational purpose/essay เรียงความ บทเรียงความประวัติส่วนตัวและจุดประสงค์ในการศึกษาต่อ ประมาณ 300-500 คำ

    6. Evidence of English level proficiency คะแนนผลสอบ TOEFL,IELTS, GRE หรือ GMAT

    7. สำหรับผู้สมัครเข้าศึกษาในระดับปริญญาโทหรือเอก ผลสอบเหล่านี้ต้องขอให้ศูนย์สอบ เช่น Education Testing Service (ETS) ส่งผลไปยังสถานศึกษาโดยตรง (รายงานผลสอบที่ส่งจากศูนย์สอบไปยังสถานศึกษานี้ เรียกว่า Official Score Report) หรือใบประกาศการเรียนภาษา

    8. จดหมายรับรองฐานะทางการเงิน (Financial Statement) ของผู้ปกครอง ในกรณีที่เป็นนักเรียนทุนควรมี จดหมายรับรองการรับทุนแนบไปด้วย

    9. Letters of recommendation จดหมายรับรอง ที่เขียนโดยอาจารย์ที่สอนเรามาในระดับปริญญาตรีหรือโทและหัวหน้างาน ต้องส่งเอกสารเหล่านี้ให้ถึงสถาบันก่อนวันปิดรับสมัคร เค้าจะพิจารณาจากหลักฐานที่ส่งไป แล้วจะส่งจดหมายตอบรับกลับมาให้เรา ที่เรียกว่า I-20 Form เป็นหลักฐานประกอบการขอวีซ่านักเรียน อาจแนบรายละเอียดการลงทะเบียนเรียนมาด้วย ควรเริ่มเตรียมการล่วงหน้าอย่างน้อยประมาณ 1 ปี เนื่องจากการติดต่อสถานศึกษา การสอบต่าง ๆ การส่งเอกสารและการพิจารณาใบสมัครใช้ระยะเวลามาก

 

สอบถามเพิ่มเติม Add เลย

ค้นหาสถาบันเรียนประเทศสหรัฐอมเริกา